สมัครงานยังไงให้ได้งาน (versionเด็กไทยในออสเตรเลีย)
เอ้าขอเสียงคนที่เคยไปสัมภาษณ์งานมาแล้วแต่ที่ทำงานไม่ติดต่อกลับก็ขอให้ยกมือขึ้น หรือหนักกว่าเลย คือไปสมัครงานแล้วที่ทำงานไม่ติดต่อกลับมาจ้า เราเชื่อว่าหลายๆ คนคงต้องเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบเราอยู่บ้าง วันนี้เราจะมาให้ทิปง่ายๆ ที่อยากให้เพื่อนๆ เอาไปลองใช้ดูนะคะ
ก่อนอื่นเลยสโคปของบทความนี้เหมาะสำหรับเด็กไทยในต่างแดนที่กำลังหางาน Part-Time หรือ Casual อยู่ เนื่องจากจขกท.เองยังเรียนไม่จบเลยไม่สามารถให้คำแนะนำในส่วนของงาน full time ได้ แล้วอีกปัจจัยสำคัญเลยคือลีมิตชั่วโมงทำงานเนืองมาจากวีซ่านักเรียนที่พวกเราถือกันอยู่นี้เอง ตอนนี้จขกท.เองกำลังทำงานเป็น receptionist อยู่ที่โรงแรมแล้วก็กำลังศึกษาต่อไปด้วย ก่อนหน้านี้เคยทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ แคชเชียร์ และkitchen hand ให้กับร้านอาหารไทย แล้วก็ร้านอาหารญีปุ่นมาก่อน ทิปที่จะมาแนะนำนั้นมาจากประสบการณ์และความรู้ของจขกท.เอง ถ้าผิดพลาดอย่างไรก็ขออภัยณที่นี้ด้วยค่า
ขอแบ่งทิปเป็นสองสเต็ป สเต็ปแรกคือก่อนสมัครงาน และสเต็ปที่สองจะเป็นหลังสมัครงาน
มาเริ่มกันที่สเต็ปแรกกันก่อนเลยค่ะ
อย่างแรกเลยก่อนที่จะไปสมัครงาน เพื่อนๆ ต้องทำความเข้าใจกับตัวเองก่อนว่าเราอยากที่จะทำงานไปเพื่ออะไร ย้กตัวอย่างเช่น
- บางคนอยากทำงานเพราะอยากได้รายได้เสริม
- บางคนอยากหาประสบการณ์ในต่างแดนเพื่อย้กระดับเรซูเม่
- บางคนอยากค้นหาตัวเอง อยากลองทำงานในสายงานที่กำลังเรียนอยู่
ถ้าเราวาดภาพในหัวไว้อย่างชัดเจน การหางานของเราก็จะง่ายขึ้น เพราะเราสามรถเสิร์ชงานโดยเจาะจงตำแหน่งหรือแผนกของงานที่เราอยากจะทำได้ เชื่อจขกท.เถอะค่ะว่ามันช่วยเซฟเวลาของเราได้เยอะเลย ขอย้กตัวอย่างคลาสิคเลยสำหรับคนที่อยากได้งานเด็กเสิร์ฟในสายhospitality ให้ใส่คำเสิร์ชลงไปว่า “waiter” หรือ “F&B (food and beverage) attendant” และอีกอย่างคือเราสามารถเขียน Objective ในเรซูเม่เราให้ตรงทาร์เกตสายงานได้ เพราะฉะนั้นเวลาบริษัทหรือนายจ้างอ่านเขาก็จะรู้ว่าความต้องการของเรามันตรงกับของเขาไหม
อีกอันหนึงเลยคือสำหรับคนที่ walk in เข้าไปสมัครงาน ส่วนใหญ่ผู้จัดการหรือในใบสมัครจะถามเราว่า “what position are you looking for (คุณกำลังemployerหางานในตำแหน่งอะไร)” ถ้าเราสามารถตอบแบบเจาะจงตำแหน่งหรือแผนกงานที่เราอยากได้ แล้วตำแหน่งนั้นกำลังว่างพอดี มันก็จะเพิ่มโอกาศในการโดนเรียกไปสัมภาษณ์ได้มากขึ้น แต่ถ้าเราตอบแบบกว้างๆ แบบอะไรก็ได้ค่ะที่ว่างอยู่ บางทีมันก็จะดูเหมือนว่าเราไม่มี passionพอที่จะทำในสายๆ งานนั้น
อย่างที่สองคือพอหางานที่กำลังเปิดรับสมัครอยู่ได้แล้ว เราก็จะมาดู description หรือคำอธิบายของงาน แล้วก็เอามาปรับเรซูเม่ของเราให้ตรงกับคุณสมบัติที่เขาวางไว้ ในกรณีที่เขาไม่ให้ descriptionมา เราก็ใช้เพื่อนซี้อย่างอากู๋กูเกิลของเราเลยค่ะ ฮ่าๆๆ
อย่างที่สามคือหลังจากที่เราส่งใบสมัครออนไลน์ไปแล้ว ถ้ามันไม่เหลือบ่าไปกว่าแรง จขกท.แนะนำให้เพื่อนๆ เดิน walk in เข้าไปยื่นเรซูเม่อีกรอบ เพราะบางทีพอเวลาเราสมัครออนไลน์บางบริษัทจะใช้โปรแกรมค้นหาคำที่ตรงกับคุณสมบัติที่เขาตั้งไว้ ถ้าบังเอิญเรซูเม่เราดันมีคำที่ตรงกับคุณสมบัติน้อยกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ เราก็เสียโอกาศที่จะติด short listได้ แหละอีกอย่างคือข้อเสียของการสัครงานออนไลน์ เราจะไม่มีโอกาศที่จะสร้างความประทับใจครั้งแรกได้ ซึ่งความประทับใจครั้งแรกสามารถทำให้คุณโดนเรียกไปสัมภาษณ์งานได้ จากประสบการณ์ตรงของจขกท. 90%ที่จขกท. โดนเรียกไปสัมภาษณ์งานได้มาจากการwalk inทั้งนั้น เพราะฉนั้นเชื่อเถอะค่ะว่า first impressionนั้นสัมคัญมากๆ
อย่างที่สี่ ทิปของการwalk inคือ:
1. การแต่งกายของคุณจะต้องดี เพราะอีกนั้นแหละ first impressionมันสำคัญ มั้นดูเป็นข้อที่ใช้คอมม่อนเซ้นซ์มากที่สุด แต่หลายคนก็มองข้ามไปเช่นกัน เชื่อเถอะค่ะว่าที่ทำงานใหม่ของคุณเขาจะให้คะแนนคุณตั้งแต่วินาทีที่คุณเดินเข้าไปสมัครงาน ไม่ใช่แค่ตอนที่คุณไปสัมภาษณ์งานเท่านั้น อย่างของจขกท. ผู้จัดการบอกเสมอว่าถ้ามีคนมาสมัครงาน ถ้าเขาแต่งตัวไม่ดี หรือเธออ่านเรซูเม่เขาแล้วมันไม่ผ่านให้เอาทิ้งไปได้เลย ไม่ต้องเอามาให้เขา ซึ่งมันดูโหดร้ายมากค่ะ
แต่มันมีอยู่จริงคนที่มาสมัครงานแล้วใส่กางเกงขาสั้นมา หรือใส่กางเกงยีนมา ซึ่งขอบอกก่อนว่าบางที่เขาไม่ถือถ้าคุณใส่กางเกงยีนขายาวมาสมัคร แต่ห้ามขาดเด็ดขาดนะคะ!! เพราะยังอยู่ในคอนเซ็ป smart casual แต่ถ้าคุณอยากสมัครงานบริษัท หรือร้านอาหารที่มันไม่ใช่ casual dinning ขอแนะนำว่าอย่าใส่กางเกงยีนไปเลยค่ะ รองเท้าก็เช่นกัน ควรใส่รองเท้าหัวปิดที่ไม่ใช่รองเท้าผ้าใบ
2. ต้องพกความมั่นใจไปเกินร้อย ไม่ต้องรอให้ผนักงานเข้ามาทัก เราเดินเข้าไปทักเขาก่อนเลย ให้ใช้ประโยคง่ายๆอย่าง “Good Morning/Afternoon, how are you today?” แล้วก็แถมไปด้วยรอยยิ้มสยามของเรา ฮ่าๆๆ หลังจากที่เค้าตอบแล้วก็ถามเรากลับ ให้ยิงคำถามกลับไปว่า “I’m looking for a ____ (ให้ใส่ชื่อตำแหน่งงานเข้าไป) position, is there any position available at the moment” หรือ “I’m looking for a ____ (ให้ใส่ชื่อตำแหน่งงานเข้าไป) position, are you looking for someone at the moment” ถึงเราจะเห็นมาจากออนไลน์ว่าเค้ารับสมัครงาน แต่พอเราไปถึงที่นั้นก็ต้องถามไปแบบนี้อีกอยู่ดี
บางที่ก็จะตอบกลับมาว่าเรารับสมัครจากทางเว็ปเซ็ตเท่านั้น เราก็ถามกลับเป็นมารายาทว่าเว็ปไซต์อะไร แล้วจดลงไปต่อหน้าเขา เขาจะได้เห็นถึงความกระตือรือร้นของเรา หรือถ้ามันไม่ยุ่งมาก ให้ลองถามหาผู้จัดการดู ให้พูดไปว่า “Is your manager available? I would like to discuss about any available job opportunity” แต่ถ้าจะใช้ข้อหลัง ขอให้คุณเตรียมตัวและทำการบ้านไปอย่างดี เพราะบางทีผู้จัดการอาจจะสัมภาษณ์ตรงนั้นเลยก็ได้ พอเสร็จทุกอย่างแล้ว ให้ตบท้ายด้วยประโยคนี้ “Have a nice day” สั้นๆง่ายๆ
3. ต้องเตรียมตัวไปอย่างดี จขกท.โดนเทรนมาให้ถามคำถามง่ายๆ จากคนที่มาสมัครงานในโรงแรมว่า “What position are you looking for? (คุณสนใจที่จะทำงานตำแหน่งอะไร?)” หรือ “What’s your availability? (คุณว่างช่วงไหนบ้าง)” แหละอีกอย่างคือในกรณีที่เขาให้เราสัมภาษณ์งานณตอนนั้น ให้เราทำการบ้านไปจากบ้านก่อน
ถ้าเป็นร้านอาหาร ก็ลองเข้าไปดูเว็ปไซต์หรือเมนูดูว่าเปิดกี่โมง มีกี่ช่วง (Breakfast/Lunch/Dinner) หรือเค้าอนุญาติ BYO (bring you own)ไหม เราก็จะสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ลงไปตอนสัมภาษณ์งานได้ มันก็จะทำให้เราดูน่าสนใจและแลดูว่าเราอยากที่จะทำงานที่ๆนี้จริงๆ
มาต่อกันที่สเต็ปที่สอง เราควรจะทำยังไงหลังจากที่เราไปสมัครงานแล้ว
อย่างแรกเลยหลังจากที่เราสมัครงานแล้ว ถ้าเค้าไม่ติดต่อกลับมาภายใน1-2อาทิต หรือถ้ามันเลย deadline มาแล้วแต่ไม่ได้ยินคำตอบ ให้คุณ follow up โดยการส่งอีเมล์หรือโทรไปถามประมานว่า ดิฉันเพิ่งสมัครงานไปเมื่อ1-2อาทิตก่อน ไม่ทราบว่าตำแหน่งนี้ยังว่างอยู่ไหม เพราะว่าดิฉันสนใจและเชื่อว่าดิฉันเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มาก แล้วก็เติมไปว่า “I’m looking forward to discuss this further with you” การที่เราติดตามผลสมัครงานมันทำให้เราดูกระตือรือร้นและตั้งใจที่จะได้ตำแหน่งนี้มากจริงๆ
อย่างที่สองคือในกรณีที่ไปสัมภาษณ์งาน แต่เขายังไม่ติดต่อกลับมา ให้ใช้เทคนิคเดี่ยวกับข้างบนคือ follow upค่ะ แต่คราวนี้ให้เพิ่มเข้าไปว่า ถ้าเรามีข้อควรปรับปรุงขอให้เขาบอกเรา เพื่อที่เราจะเอาไปพัฒนาและปรับปรุงตัวเอง ในส่วนของจขกท.นั้น ได้งานเพราะไป follow up หลังจากที่โดนเรียกไปสัมภาษณ์ ผู้จัดการมาบอกที่หลังว่าถึงเราจะไม่มีประสบการณ์ในด้านการโรงแรม แต่เพราะเราแสดงความสนใจและกระตือรือร้นเค้าเลยเลือกเรา
อย่างที่สามคือพอเวลาโดนเรียกให้ไปสัมภาษณ์ให้เตรียมตัวไปอย่างดี ให้ปริ้นเอาเรซูเม่ไปอีกใบ และเตรียมเบอร์ติดต่อกับอีเมล์ของreferenceไปให้พร้อม ที่ทำอย่างนี้เพื่อที่จะให้เขาเห็นถึงความตั้งใจและเตรียมพร้อมของเรา
ในที่สุดทิปการหางานก็หมดลงแล้ว สุดท้ายนี้ขอให้เพื่อนๆ โชคดีในการหางานกันนะคะ
หรือจะกรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้เพื่อติดต่อเราก็ได้ด้วยเช่นกัน